ทำตาสองชั้น ตามหลักโหวงเฮ้ง

ทำตาสองชั้น

นอกจากการทำศัลยกรรม ทำตาสองชั้น จะทำให้แต่งหน้าง่ายขึ้น ดูสดใสขึ้น สวยขึ้น มั่นใจมากขึ้น โดยส่วนลูกค้าหลายรายที่เชื่อหลักโหงวเฮ้งต่างฟันธงบอกเลยว่า ดวงตาสองชั้นบนใบหน้ามีผลต่อโหงวเฮ้งที่ดี 80% ทำแล้วชีวิตดีขึ้น

ทำตา ตามหลักโหงวเฮ้ง

การทำศัลยกรรมตาสองชั้น ที่ถูกต้องตรงตามหลักโหงวเฮ้ง กันดีกว่าว่าสิ่งดีๆ แบบไหนที่จะตามมาบ้าง


1. มีความมั่นใจ ดูสดใสมากยิ่งขึ้น มีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง

ถ้าหากคุณเป็นสาวตาตก แน่นอนว่าหน้าตาจะดูเศร้า ไม่สดใส ซึ่งตามหลักโหงวเฮ้งจีน ยังบอกอีกว่า คนตาตกเป็นคนคิดแง่ลบ คิดร้าย ดวงไม่ดี อาภัพเรื่องความรัก ไม่สมหวังในความรัก การงานการธุรกิจขาดคนค้ำชูอุปถัมภ์ ฟังแล้วก็เครียด แบบนี้หาทางแก้ไขได้ง่ายมากๆ ด้วยการศัลยกรรมปรับตำแหน่งหางตาให้อยู่ในจุด Balance ให้เป็นเส้นตรง ไม่เฉียงขึ้นมากไป หรือตกมากไป แค่นี้ก็สร้างความมั่นใจและความสวยงามขึ้นตามหลักโหงวเฮ้งแล้วค่ะ

2. ตา เฮง เฮง เฮง รวยๆ แถมเรื่องรักก็รุ่งโรจน์

ตามหลักโหงวเฮ้งของคนจีนโบรารณว่ากันว่าชั้นตาบนของคนเราบอกถึงความมั่งคั่ง ยิ่งพื้นที่ระหว่างชั้นตาบนกับคิ้วมีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งร่ำรวยที่ดิน ที่อยู่อาศัย ร่ำรวยเงินทอง สาวๆคนไหนอยากศัลยกรรมเสริมโหงวเฮ้งตรงนี้ อยากมีบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์เว่อร์วังอลังการ ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง แค่ศัลยกรรมยกหางคิ้วขึ้นหน่อยทำตาสองชั้นอีกนิด แค่นี้ก็รุ่งแล้วค่ะ

3. ดูอ่อนเยาว์ กระชากวัย เป็นที่น่าเอ็นดูของคนรอบข้าง

แต่ใครที่มีชั้นตาหลายชั้น ใต้ตาหย่อน แน่นอนค่ะ คือดูไม่สวย ไม่สดใสแก่เกินหน้าเกินตาเพื่อนแน่นอน แต่ใครที่มีถุงใต้ตาหย่อน ตามศาสตร์การอ่านใบหน้าจีน ยิ่งถุงใต้ตาใหญ่แสดงว่าจะมีลูกมีหลานเยอะ แต่ดันขัดหับหลักความงามและเทรนด์การมีลูกของคนสมับปัจจุบัน ก็เพราะเจ้าถุงใต้ตานี่แหละที่ทำให้หน้าสวยๆดูเหนื่อย ดูโทรม สวยแค่ไหนมีถุงใต้ตาก็จบเห่เลย อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าสาวๆจะเลือกเฮงด้านไหนนะคะ (ความเชื่อส่วนบุคคล)

4. ใครๆ ก็ชอบมองตากลมๆ โตๆ ใสๆ ดูเฉียบๆ

คนที่มีดวงตาประเภทนี้ก็ดูน่าคบ น่ารักน่าเอ็นดูในสายตาคนรอบข้างที่สุด เพราะตาดำเป็นจุดสำคัญที่สุดที่ใช้อ่านโหงวเฮ้งตามศาสตร์จีนโบราณว่ากันว่า ใครมีดวงตาดวงตากลมโตมักจะดูน่าคบหา ดูจริงใจ มีเสน่ห์ดึงดูดคนรอบข้าง

หลายคนมีคำถามต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องทำตาสองชั้น เช่น

  1. อยากทำตาสองชั้นสวยๆ แต่ยังไม่รู้ทำที่ไหนดี
  2. ทำตาสองชั้น ดีไหม
  3. ทำตาสองชั้น แบบไหน จึงจะเหมาะกับหน้าเรา
  4. มีตาสองชั้นแล้วไม่เท่ากัน สามารถแก้ไขได้อย่างไร
  5. ตาชั้นเดียวหรือไม่มีชั้นตา, ชั้นตาไม่ชัด, ตาสองชั้นหลบใน, ชั้นตาไม่เท่ากัน, หัวตาปิด หางตาปิด, หางตาตก ต้องแก้ไขยังไง

คำถามเหล่านี้อยู่ที่ความต้องการส่วนบุคคลของแต่ละคนว่าต้องการผลลัพธ์ประมาณไหน ซึ่งสามารถปรึกษาเราได้ฟรีด้วยทีมงานคุณภาพด้าน ศัลยกรรมตาสองชั้น ด้วยเทคนิคพิเศษ และ ราคาศัลยกรรมตาสองชั้นที่ไม่แพงอย่างที่คิด ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตาสองชั้นจากประเทศเกาหลี โดยเรามีตัวอย่างการทำตาสองชั้น ที่นิยมกันในปัจจุบันมากที่สุดและผลลัพธ์เป็นที่พอใจของลูกค้าที่ทำออกมา 100% เต็ม ที่สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ตอบโจทย์ที่สุดคือ การทำตาสองชั้นแบบปลายหางหงส์ด้วยวิธีการเปิดหัวตา – หางตา – ตาหางหงส์ ชั้นตาคมชัด สวยกลมโต โฉบเฉี่ยว

ตาสองชั้นสวยๆ

ศัลยกรรมทำตาสองชั้น คืออะไร?

เป็นการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณผิวรอบดวงตา เพื่อแก้ไขปัญหาในผู้ที่มีตาเล็ก หางตาตก ชั้นตาหลบใน ทำให้บุคลิกดูไม่สดใส ดูเศร้าหมอง โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแรง ปัจจุบันศัลยกรรมตาสองชั้นได้รับความนิยมมาก เพราะมีเทคนิคใหม่ๆ ที่ทันสมัย ปลอดภัย ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติ

เทคนิค และ วิธีทำตาสองชั้น มีอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร


ถ้าพูดถึงการทำตาสองชั้น หลายคนคงคิดว่า เป็นการผ่าตัดเพิ่มชั้นหนังตาให้ดูกลมโตและกว้างขึ้นเพียงเท่านั้น แต่ในหลักความจริงแล้ว ดวงตาที่สวยได้สัดส่วน ไม่ใช่แต่กลมโตเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ปัจจุบันศัลยกรรมตาสองชั้นจึงมีมากถึง 9 เทคนิคด้วยกัน และถูกปรับใช้โดยศัลยแพทย์จะพิจารณาทุกส่วนของดวงตา และประเมินปัญหา หลังจากนั้นจะเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมมากที่สุด เช่น บางคนหนังตาตก ต้องเปิดหัวตา และปรับหางตา

บทความวันนี้จึงรวบรวม 9 เทคนิคการศัลยกรรมตาสองชั้น แต่ละเทคนิคเหมาะกับการแก้ปัญหาแบบใดบ้าง เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจสำหรับผู้ที่กำลังมีแพลนทำตาสองชั้นอยู่ในตอนนี้

ทำตาสองชั้นแบบเกาหลี

วิธีที่ 1 ทำตาสองชั้นแบบกรีด

เป็นการศัลยกรรมสาสองชั้นโดยใช้เทคนิคแบบกรีดบริเวณเปลือกตาให้เกิดรอยขีดพร้อมกับกำจัดไขมันหรือกล้ามเนื้อที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้มีชั้นตาชัดเจนขึ้น ทำให้ดวงตาดูกลมโตสวยงาม ซึ่งแบ่งการกรีดได้ 2 แบบดังนี้

ทำตาสองชั้นแบบกรีดสั้น

เป็นการผ่าตัดโดยฉีดยาชา จะกรีดบริเวณกลางเปลือกตาด้วยความยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร และนำไขมันส่วนเกินบริเวณหนังตาออก จากนั้นจึงเย็บปิดชั้นตา

ข้อดี ของแบบกรีดสั้น

  • รอยแผลเป็นเล็กมาก และสมานตัวกันได้ดีจนเกิดเป็นชั้นตา
  • ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยมาก นานสุดไม่เกิน 45 นาที
  • อาการบวมช้ำน้อย เพราะไม่รบกวนเนื้อเยื่อหนังตาเท่าวิธีอื่น
  • เห็นผลลัพธ์เร็ว เพราะแผลยุบไวกว่าศัลยกรรมตาด้วยเทคนิคอื่น

ข้อเสีย ของแบบกรีดสั้น

  • ให้ผลลัพธ์ไม่สวยในผู้ที่มีหนังตาเยอะและหนามาก
  • ตกแต่งชั้นตาได้น้อย
  • เอาไขมันชั้นตาออกได้น้อย

ทำแบบกรีดสั้น เหมาะกับใคร?

  • เหมาะกับผู้ที่อายุยังน้อย
  • เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาน้อย
  • เหมาะกับผู้ที่มีเปลือกตาไม่หนามาก

ทำตาสองชั้นแบบกรีดยาว

เป็นการศัลยกรรมตาสองชั้น โดยใช้เทคนิคแบบกรีดตั้งแต่บริเวณหัวตาไปจนถึงหางตา และหากมีหนังตาเยอะ จะทำการตัดหนังตาส่วนเกินออกก่อนแล้วจึงเย็บชั้นหนังตา

ข้อดี ของแบบกรีดยาว

ลดปัญหาการเกิดหนังตาตกในอนาคต
สามารถเอาไขมันส่วนเกินออกบริเวณหนังตาได้เยอะ เนื่องจากเป็นการกรีดแผลยาว
ให้ผลลัพธ์ได้ดีแม้ว่ามีหนังตาน้อย หรือในคนอายุน้อย

ข้อเสีย ของแบบกรีดยาว

  • พักฟื้นนานกว่าแบบกรีดสั้น
  • มีอาการบวมช้ำมากกว่าแบบกรีดสั้น
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันบริเวณหัวตามาก เพราะการกรีดยาวไม่สามารถนำไขมันที่มีมากเกิน ออกมาได้จนหมด

ทำแบบกรีดยาว เหมาะกับใคร?

  • เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาเยอะ
  • เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาหนา
  • เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาตก หรือหย่อนคล้อย
  • เหมาะกับผู้ที่เห็นชั้นตาไม่ชัด

วิธีที่ 2 ผ่าตัดเปิดบริเวณหัวตา (Epicanthoplasty)

การศัลยกรรมเปิดหัวตา เป็นการแก้ไขให้ดวงตากลมโตขึ้น ด้วยการกรีดเปิดแผลบริเวณหัวตาบน-ล่าง และมักทำพร้อมๆ กับการกรีดตาสองชั้น

ข้อดี ของการผ่าตัดเปิดบริเวณหัวตา

  • แก้ไขรูปตาที่สั้น ทำให้ดูเรียวยาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ทำให้ตาดูโตขึ้น ทำให้ใบหน้าอ่อนหวาน
  • กำจัดเนื้อที่บดบังบริเวณหัวตา
  • แก้ปัญหาอาการเคืองตา จากขนตาที่ขึ้นบริเวณหัวตา
  • เปิดวิสัยทัศน์ในการมองเห็นได้ดีขึ้น
  • ลดปัญหาดวงตาดูเข หรือไม่เท่ากัน

ข้อเสีย ของการผ่าตัดบริเวณเปิดหัวตา

  • เสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นบวมนูน หากทำกับศัลยแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญในการผ่าตัดเปิดหัวตา
  • ทำให้รูปตาไม่สวยเป็นธรรมชาติ หากเปิดหัวตามากเกินไป
  • แผลหายช้า เพราะบริเวณหัวตา เป็นผิวที่ละเอียดอ่อนและมีเส้นเลือดเยอะ
  • ทำแล้วไม่ได้ผล เหมือนไม่ได้ทำ หากเปิดหัวตาด้วยเทคนิคที่ไม่ดีพอ

ผ่าตัดเปิดหัวตา เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีดวงตาเล็กและสั้น
  • ผู้ที่มีหัวตางุ้มลง ทำให้ลักษณะลูกตาดูเขเข้าหากัน
  • ผู้ที่มีดวงตาดูดุ ชั้นตาไม่ชัด
  • ผู้ที่มีลักษณะตาห่างกันเกินไป
  • ผู้ที่มีลูกตาดำอยู่ชิดกับหัวตามากเกินไป

แก้ตาชั้นเดียว ให้เป็นตาสองชั้น

วิธีที่ 3 ผ่าตัดแก้ไขปัญหาหนังตาตก

เป็นการศัลยกรรมตัดเปลือกตาบนที่ตก หย่อนคล้อย หรือมีมากจนเกินไปออก ด้วยการใช้เทคนิคผ่าตัดแผลขนาดเล็ก

ข้อดี ของการผ่าตัดแก้ไขปัญหาหนังตาตก

  • ให้ผลลัพธ์ที่ถาวรอยู่ได้นาน
  • แทบไม่เห็นแผลเป็น เนื่องจากแผลจะถูกเย็บซ่อนอยู่ใต้คิ้ว

ข้อเสีย ของการผ่าตัดแก้ไขปัญหาหนังตาตก

  • มีรอยช้ำและเหลืองได้ง่าย แต่จะค่อยๆ หายเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์
  • แผลบริเวณคิ้วเสี่ยงต่อการโดนเหงื่อ ทำให้เกิดระคายเคือง ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศร้อน หรือโดนแสงแดดจัดจนกว่าแผลจะแห้งสนิท

ผ่าตัดแก้ไขปัญหาหนังตาตก เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีหนังตาหย่อนคล้อย ซึ่งมักพบในผู้ที่เริ่มมีอายุเยอะขึ้น
  • ผู้ที่มีหนังตาตก ร่วมกับไขมันที่เปลือกตาหนา

วิธีที่ 4 ยกบริเวณคิ้ว (Sub eyebrow surgery)

เป็นวิธีผ่าตัดบริเวณใต้คิ้ว โดยดึงผิวหนังและกล้ามเนื้อขึ้นไปชิดกับขอบคิ้ว ซึ่งมีเทคนิคการผ่าตัด แบบ ดังนี้

  • ผ่าตัดเก็บหนังตาตกใต้ท้องคิ้ว เป็นวิธีที่ใช้เทคนิคคล้ายกับการผ่าตัดเปลือกตาบน แต่จะใช้วิธีเย็บปิดแผลตามแนวขอบคิ้ว แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะมีแผลผ่าตัดเห็นชัดบนใบหน้า และไม่สามารถใช้ได้ในผู้ที่ต้องการเปลี่ยนเส้นตาสองชั้น
  • ผ่าตัดยกคิ้วผ่านกล้อง (Endoscopic Brow Lift) เป็นการผ่าตัดที่ทำให้เกิดรอยแผลขนาดเล็ก เนื่องจากนำเอากล้องส่อง Endoscopic และแพทย์จะกำหนดจุดแผลที่สั้นเพียง 3 เซนติเมตร แล้วสอดกล้องประมาณ 3-4 จุด ซึ่งรอยแผลจะถูกซ่อนไว้บริเวณไรผม

ข้อดี ของการยกบริเวณคิ้ว

  • แทบมองไม่เห็นรอยแผลเป็น เพราะเนียนไปกับแนวคิ้ว หรือไรผม
  • มีอาการบวมค่อนข้างน้อย มีแผลขนาดเล็ก โดยเฉพาะหากทำโดยวิธียกคิ้วผ่านกล้อง (Endoscopic Brow Lift)
  • ทำให้ชั้นตาทั้งสองข้างเท่ากัน
  • ทำให้คิ้วทั้งสองข้างเท่ากัน
  • ทำให้ชั้นตาสวยมากขึ้น

ข้อเสีย ของการยกบริเวณคิ้ว

  • มีอาการปวด บวมหลังทำ ซึ่งสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
  • อาจมีเลือดซึมออกมาตามรอยแผล
  • แผลหายช้า หรือขอบแผลหายไม่สนิท
  • อาจเกิดอาการชาบริเวณหนังศีรษะชั่วคราว

ผ่าตัดยกบริเวณคิ้ว เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีอายุมากขึ้น ผิวหนังตาเริ่มเหี่ยวและหย่อนคล้อย
  • ผู้ที่มีคิ้วแคบ ระหว่างช่องคิ้วทั้งซ้ายและขวาใกล้กันจนเกินไป
  • ผู้ที่มีบริเวณหนังตาบนเยอะเกิน
  • ผู้ที่มีหางตาตก
  • ผู้ที่มีรอยย่นที่หน้าผาก และรอยย่นระหว่างคิ้วเยอะจนเห็นได้ชัด

วิธีที่ 5 ผ่าตัดดึงหางตา (FOXY EYES)

เป็นการผ่าตัดเล็ก ผ่านกล้อง โดยแพทย์ทำการสอดกล้องขนาดเล็ก (Endoscope) เข้าไปที่จุดแผลบริเวณแนวผม เพื่อดึงและยึดกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อย และดึงหางตาให้ดูเฉี่ยว และมีเสน่ห์ได้ในคราวเดียวกัน

ข้อดี ของการผ่าตัดดึงหางตา

  • เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำเสร็จ
  • ฟื้นตัวเร็ว เพราะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก
  • รอยช้ำน้อย เมื่อเทียบกับการดึงหางตาด้วยวิธีอื่น
  • แทบจะไม่เห็นแผลเป็น เพราะเย็บแผลตามไรผม

ข้อเสีย ของการผ่าตัดดึงหางตา

  • เสี่ยงหลับตาไม่สนิท หากแพทย์ดึงหางตามากจนเกินไป
  • อาจไม่เหมาะกับทุกคน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • เกิดอันตรายต่อเส้นประสาท ทำให้หน้าเบี้ยว หากแพทย์คำนวณตำแหน่งผิด
  • แผลหายช้า แห้งไม่สนิท หากไม่หมั่นดูแลทำความสะอาด เนื่องจากตำแหน่งเย็บแผลอยู่บริเวณแนวผม

ผ่าตัดดึงหางตา เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก
  • ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย แก่กว่าวัย
  • ผู้ที่ต้องการตกแต่งหางตาให้ดูเฉี่ยว ดู Sexy โดยเฉพาะในผู้หญิง
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง

วิธีที่ 6 ปรับกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Incision ptosis)

เป็นการผ่าตัดกรีดบริเวณเปลือกตาบน เพื่อแก้ไขกล้ามเนื้อเปลือกตาบนที่ใช้ในการลืมตา มีลักษณะอ่อนแรง หรือมีลักษณะห้อยตก ทำให้ต้องใช้คิ้วและหน้าผากช่วยเวลาลืมตา ซึ่งทำให้ดวงตาดูเศร้า หรือดูเหนื่อยล้า ง่วงนอนตลอดเวลา

ข้อดี ของการปรับกล้ามเนื้อตา

  • รักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
  • ทำให้ดวงตาเท่ากัน
  • ลืมตาขึ้นได้โดยไม่ต้องพยายามเลิกคิ้ว หรือขยับหน้าผาก
  • ลดการเกิดริ้วรอยบริเวณหางคิ้ว และหน้าผาก ที่ขยับเยอะจากการต้องพยายามช่วยในการลืมตา

ข้อเสีย ของการปรับกล้ามเนื้อตา

  • เสี่ยงกล้ามเนื้อตาไม่เท่ากัน หากแพทย์ออกแบบตำแหน่งผ่าตัดไม่ตรงจุด
  • เสี่ยงทำให้ตาเบิกโตเกินไป หากทำโดยแพทย์ไม่เชี่ยวชาญ
  • เสี่ยงต้องปรับแก้หลายรอบ และเสียค่าใช้จ่ายเยอะ

ปรับกล้ามเนื้อตา เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีลักษณะตาปรือ ตาดูง่วงนอนตลอดเวลา
  • ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
  • ผู้ที่ต้องการให้เห็นเส้นตาสองชั้นได้ชัดเจนขึ้น

วิธีที่ 7 จัดเรียงไขมันใต้ตา (TransConjuctival Septal Reset)

เป็นการผ่าตัดขนาดเล็กที่เปิดแผลด้านในเปลือกตาล่าง เพื่อจัดเรียงไขมันใต้ตา หรือเกลี่ยให้ไขมันที่ยื่นออกมา หรืออยู่ในตำแหน่งกระจุกที่หัวตาให้กระจายตัวออกจากกัน เพื่อทำให้ดวงตาดูเต็ม สมส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ

ข้อดี ของการจัดเรียงไขมันใต้ตา

  • เห็นผลชัดเจนทันทีหลังทำเสร็จ
  • ดวงตาดูสมบูรณ์ สดใสมากขึ้น
  • ไม่มีรอยแผลเป็น เนื่องจากเย็บแผลด้านในเปลือกตาล่าง

ข้อเสีย ของการจัดเรียงไขมันใต้ตา

  • ผลลัพธ์อาจไม่อยู่ถาวร เนื่องจากตำแหน่งไขมันอาจเคลื่อนตัวอีกครั้ง
  • เนื้อเยื่อในตาอาจเกิดการอ่อนแรง จากการจัดเรียงไขมันใต้ตาในครั้งแรก

จัดเรียงไขมันใต้ตา เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีขอบตาล่างบุบเข้า
  • ผู้ที่มีขอบตาล่างคล้ำ
  • ผู้ที่มีหัวตาล่างบวมนูน
  • ผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาบวมนูน

วิธีที่ 8 ตัดถุงใต้ตา (Lower Blepharoplasty)

เป็นการผ่าตัดเอาไขมันส่วนเกินใต้ตาออกมา ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้เทคนิคการผ่าตัด 2 แบบ คือ ผ่าตัดแบบเก็บแผลด้านในเปลือกตาล่าง ในกรณีที่คนไข้มีปัญหาแค่ไขมันส่วนเกินใต้ตาเท่านั้น และเลือกใช้เทคนิคผ่าตัดเอาหนังใต้ตาออกร่วมกับเอาถุงไขมันใต้ตา ในผู้ที่มีผิวใต้ตาหย่อนคล้อย ซึ่งพบได้ในผู้อายุเยอะ

ข้อดี ของการตัดถุงใต้ตา

  • เห็นผลทันทีหลังทำเสร็จ
  • ไม่เกิดรอยแผลเป็น เนื่องจากเย็บแผลเปลือกตาด้านใน แม้ในกรณีที่ต้องตัดหนังตาล่างก็สามารถเย็บแผลให้เรียบ
  • เนียน เกิดเป็นแผลเป็นเล็กๆ และจะค่อยๆ จางจนมองไม่เห็น

ข้อเสีย ของการตัดถุงใต้ตา

  • อาจเกิดการยุบตัวของขอบตาล่าง ทำให้ใบหน้าดูแก่ขึ้น หากตัดเอาไขมันออกมากจนเกินไป
  • มีอาการบวมร่วมกับรอยช้ำ เขียว หรือเหลือง แต่จะค่อยๆ หายเป็นปกติประมาณ 2 – 4 สัปดาห์

ตัดถุงใต้ตา เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาขนาดใหญ่
  • ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าดูโทรม แก่กว่าวัย อันเกิดจากมีหนังตาหย่อนคล้อย

วิธีที่ 9 การเติมชั้นใต้ตา (DOLLY EYES)

เป็นการใช้เทคนิคปรับแต่งดวงตาให้ดูสดใส ฉ่ำวาว ด้วยการเอาไขมันส่วนเกินใต้ตาเดิมมาจัดเรียงใหม่ หรือสามารถนำเอาไขมันของคนไข้เอง ในบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย นำไปผ่านกระบวนการสกัด (Fat transfer) หรือปั่นแยกคัดเอาแต่เซลล์ไขมันออกมาเท่านั้น แล้วฉีดเข้าไปตกแต่งชั้นใต้ตา

ข้อดี ของการเติมชั้นใต้ตา

  • เจ็บตัวน้อยมาก
  • พักฟื้นไม่นาน
  • ไม่มีรอยแผลเป็น
  • ช่วยแก้ไขริ้วรอยใต้ตาได้ดี
  • แก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ อันเกิดจากภูมิแพ้ได้ดี

ข้อเสีย ของการเติมชั้นใต้ตา

  • เสี่ยงตาบอด หากฉีดเข้าหลอดเลือด
  • ใต้ตาบวมเกิน หากฉีดไขมันมากเกินไป
  • ใต้ตานูนเป็นก้อนกระจุก หากฉีดผิดตำแหน่ง
  • ผลลัพธ์ไม่อยู่ถาวร

เติมชั้นใต้ตา เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่ตาดูโหล เบ้าตาคล้ำลึก แต่ไม่ต้องการผ่าตัด
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น
  • ผู้ที่ต้องการได้ผลลัพธ์รวดเร็ว
  • ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย ความเหี่ยวย่นใต้ตา

รูปภาพเปรียบเทียบความแตกต่างของแต่ละวิธี

Sagging Eyelids

uder eye fat

uder eye wrinkles

การเตรียมตัวก่อนทำศัลยกรรมตาสองชั้น

เพราะการศัลยกรรมในตำแหน่งใกล้ดวงตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่บอบบาง และต้องการความปลอดภัยสูงมาก ดังนั้นด่านแรกที่ต้องคำนึงคือการเลือกปรึกษาและทำกับศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้เป็นพิเศษ และเช็กสิ่งที่ต้องเตรียมตัวเพิ่มเติมอีกดังนี้

  • แจ้งโรคประจำตัว และประวัติการแพ้ยากับแพทย์ก่อนวันผ่าตัด
  • งดกินวิตามินและอาหารเสริมทุกชนิด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี หรือโสม ประมาณ 1 เดือนก่อนการผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะเลือดหยุดช้า
  • งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดก่อนผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์
  • ดูแลผิวรอบดวงตาให้สะอาด ไม่ทำให้เกิดแผล หรืออักเสบ ก่อนวันผ่าตัด ไม่เช่นนั้นต้องเลื่อนนัด และต้องรักษาแผลให้หายสนิทเสียก่อน
  • งดแต่งหน้า และควรล้างหน้าให้เรียบร้อยก่อนผ่าตัด
  • ไม่ใส่เครื่องประดับทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นต่างหู จิวต่างๆ สร้อย แหวน นาฬิกา ในวันผ่าตัด
    พักผ่อนให้เพียงพอ และทำใจให้สบาย

การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมตาสองชั้น

  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • ประคบน้ำอุ่น ในช่วง 3 วันแรก หลังผ่าตัด
  • ควรงดออกกำลังกาย เพราะจะทำให้แผลผ่าตัดได้รับความกระทบกระเทือน
  • นอนหมอนสูง โดยให้ศีรษะสูงกว่าหน้าอกใน 7 – 14 วัน หลังผ่าตัด
  • หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง ประมาณ 2 – 3 อาทิตย์หลังผ่าตัด
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ประมาณ 3 เดือนหลังผ่าตัด
  • งดแต่งหน้า หรือใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดรอบดวงตา จนกว่าแผลจะหายสนิท
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้แผลหายไวขึ้น
    ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อร่างกาย

ทำศัลยกรรมตาสองชั้น ราคาเท่าไหร่

เนื่องจากการทำตาสองชั้น มีหลายเทคนิค และแต่ละเทคนิคใช้วิธีผ่าตัด และเครื่องมือแพทย์ไม่เหมือนกัน ดังนั้นแล้วจึงมีราคาแตกต่างกัน หากเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลในประเทศไทย งบประมาณที่ควรเตรียมไว้ ควรมีตั้งแต่ 50,000 – 150,000 บาท ส่วนโรงพยาบาลของเกาหลี จะต้องเตรียมงบสูงขึ้นมาหน่อย ประมาณ 90,000 – 300,000 บาท หรือแบ่งตามเทคนิคผ่าตัดดังนี้

  • ปรับกล้ามเนื้อตาแบบกรีด / ไม่กรีด เริ่มต้น 120,000 บาท
  • เปิดหัวตา – เปิดหางตา – เปิดหางตาล่าง เริ่มต้น 60,000 บาท/จุด
  • เคสแก้ไข บวกเพิ่ม เริ่มต้น 60,000บาท+
  • เอนโดไทน์ 240,000 บาท+
  • ยกกระชับใต้ตา 130,000 บาท+
  • เอาถุงใต้ตาออก 80,000 บาท
  • Sub eyebrow 90,000 – 120,000 บาท

เลือกทำศัลยกรรมตาสองชั้น กับโรงพยาบาลไหนดี?

สำหรับโรงพยาบาลที่โดดเด่นด้านศัลยกรรมตาสองชั้น ก็มีทั้งในประเทศไทย และประเทศเกาหลี ดังนี้

โรงพยาบาลในประเทศไทยและเกาหลี

  • โรงพยาบาลยันฮี
  • โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง กมล
  • โรงพยาบาลศัลยกรรมมาสเตอร์พีซ
  • โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน
  • โรงพยาบาล SU:I PLASTIC SURGERY

รวมข้อควรรู้เกี่ยวกับศัลยกรรมตาสองชั้น

Q : ศัลยกรรมตาสองชั้น อันตรายไหม?

A : ไม่อันตราย หากทำโดยศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญทั้งการผ่าตัดศัลยกรรมตา และการออกแบบตำแหน่งที่เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้

Q : หลังทำตาสองชั้น ควรพักฟื้นกี่วัน ถึงกับไปทำงานได้ปกติ ?

A : ควรพักฟื้นอย่างน้อย 14 วันเป็นอย่างต่ำ เพื่อครบระยะตัดไหมและรอจนแผลผ่าตัดแห้งและสมานกันสนิทเสียก่อน

Q : หลังทำตาสองชั้น ใส่แว่น หรือคอนแทคเลนส์ได้ไหม?

A : สามารถใส่แว่นและคอนแทคเลนส์หลังผ่าตัดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่แผลผ่าตัด

Q : ทำตาสองชั้น ใช้ยาสลบ หรือ ยาชา?

A : เป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก จึงใช้แค่ยาชาโดยการฉีดไปบริเวณเปลือกตา แต่หากเป็นการทำเอนโดไทน์ ที่ต้องกำหนดจุดแผลหลายตำแหน่ง จะใช้การฉีดยาสลบที่แขน ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องทำและดูแลโดยวิสัญญีแพทย์ ถึงจะปลอดภัยกับคนไข้มากที่สุด

สรุป เลือกทำตาสองชั้นแบบไหนดีที่สุด

การศัลยกรรมตาสองชั้น จะมีด้วยกันหลายเทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคแก้ปัญหาได้เฉพาะเจาะจงต่างกัน จากบทความข้างต้นเป็นเพียงวิธีแนะแนวทาง ซึ่งต้องประกอบกับการได้ปรึกษากับศัลยแพทย์ด้วยถึงจะได้คำตอบว่าใช้เทคนิคไหนจึงจะเหมาะสม ให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.suiplasticsurgery.com/