แนะนำ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ตาลึก ขอบตาดำ ถุงใต้ตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากบนใบหน้า ทำให้หน้าดูมีอายุ โทรมและไม่สดใสทำให้ขาดความมั่นใจ ปัญหาเหล่านี้แก้ได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใครที่กำลังคิดอยากจะทำแต่ไม่กล้า กลัวอันตราย กลัวเจ็บ บทความนี้มีคำแนะนำมาประกอบการตัดสินใจให้ค่ะ

ฟิลเลอร์ตา คืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการเติมสาร Hyaluronic Acid หรือ HA เข้าไปในบริเวณใต้ตาที่มีปัญหาริ้วรอย โดยปกติแล้วเมื่อคนเราอายุมากขึ้นกระดูกจะยุบตัวลง เนื้อน้อยลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย หน้าดูโทรม ไม่สดใส เกิดเป็นร่องรอยใต้ตาเห็นได้ชัดเจนขึ้น

ปัญหาใต้ตาคล้ำและดำ

สาเหตุของการเกิดปัญหาใต้ตาคล้ำ

ปัญหาใต้ตาคล้ำส่วนหนึ่งเกิดมาจากพันธุกรรม ภูมิแพ้ หรือการเจริญเติบโตของกระดูกช่วงเบ้าตาและใต้ตาไม่ดี ทำให้เกิดถุงใต้ตา ร่องใต้ตา ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยก่อนวัยได้

วิธีแก้ใต้ตาคล้ำ

วิธีแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ

ทาครีมบำรุงใต้ตา

การทาครีมบำรุงใต้ตา ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่คนส่วนใหญ่เลือกทำ แต่ต้องใช้เวลาในการเห็นผลพอนานพอสมควรและได้ผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน

ทำทรีตเมนต์ใต้ตา

ทรีตเมนต์ใต้ตา

เป็นการใช้เครื่องนวดระบบอุ่นนวดบริเวณใต้ตาและรอบดวงตา ร่วมกับการผลักวิตามินบำรุง เพื่อช่วยลดรอยหมองคล้ำ

ฉีดไขมันใต้ตา

การฉีดไขมันใต้ตา ถือได้เป็นการแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึกบริเวณใต้ตาได้ดีโดยไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา แต่อาจมีการสลายหลังการฉีดได้เนื่องจากใต้ตาเป็นจุดที่มีผิวบางจึงทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงได้อย่างเต็มที่

เลเซอร์ใต้ตา

การทำเลเซอร์ใต้ตา เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณรอบๆดวงตา เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดริ้วรอยใต้ตา และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวรอบดวงตา เพิ่มความชุ่มชื้นระดับเซลล์ ถึงแม้การทำเลเซอร์จะเป็นวิธีที่จัดการปัญหาใต้ตาได้ดี แต่ก็มีข้อยกเว้นเฉพาะคนบางกลุ่มที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีนี้ คือคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และ ใต้ตาคล้ำที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้

ดูดไขมันใต้ตา

เป็นการดูดเอาไขมันที่บริเวณถุงใต้ตาออก เหมาะกับคนที่ถุงใต้ตาเป็นไขมันนูนออกมา ซึ่งการดูดไขมันใต้ตาจะทำให้เกิดแผล จึงไม่เหมาะกับคนที่มีผิวใต้ตาหย่อนคล้อย

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เป็นการฉีดการเติมสาร Hyaluronic Acid เข้าไปในบริเวณใต้ตาที่มีปัญหาความหมองคล้ำ และริ้วรอย เพื่อเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ใต้ตาดำคล้ำ ถุงใต้ตา ให้กลับมาดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้นซึ่งไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย เนื่องจาก Hyaluronic Acidเป็นสารจากธรรมชาติ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียนแบบคอลลาเจนในร่างกายของมนุษย์

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับคนที่มีใต้ตาลักษณะไหน

  • ใต้ตาเป็นร่องลึก ที่เกิดจากพันธุกรรมหรือการยุบตัวของกระดูก รวมถึงคอลลาเจน
  • ใต้ตาย่น มีริ้วรอย เกิดขึ้นในคนที่มีอายุมากขึ้นหรือคอลลาเจนในผิวน้อยลง
  • ใต้ตาคล้ำ เป็นรอยดำ จากอายุหรือพันธุกรรม แต่ไม่เหมาะกับคนไข้ที่เป็นรอยคล้ำจากพฤติกรรมเช่น ขยี้ตาแรงๆเพราะรอยคล้ำจะกลับมาอีกแม้ฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว
  • มีถุงใต้ตาหย่อนคล้อย เนื่องด้วยอายุที่มากขึ้น

เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับคลินิกที่ไหนดี

ปัจจุบันคลินิกที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีมากมายแทบทุกคลินิก แต่ไม่ใช่ว่าแพทย์ทุกคนจะฉีดฟิลเลอร์ได้ดี การที่จะฉีดฟิลเลอร์ให้ออกมาสวยตรงตามความต้องการของคนไข้นั้น แพทย์จะต้องได้รับการฝึกฝนและมีความรู้ในการฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หลักการพิจารณาเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีดังนี้

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง
  • ต้องมีป้ายรายชื่อผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิกติดไว้ในที่เปิดเผยและผู้ทำการรักษาต้องเป็นคนเดียวกับป้ายที่ติดไว้
  • มีแพทย์ประจำที่คลินิก
  • คลินิกสะอาด ปลอดภัย
  • เดินทางสะดวก มองเห็นได้ง่าย ควรอยู่ในย่านธุรกิจและอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า
  • หมอและเจ้าหน้าที่สามารถให้ข้อมูลรายละเอียดอย่างชัดเจน สามารถเข้าตรวจประเมินก่อนตัดสินใจทำได้

ดังนั้นการใช้ฟิลเลอร์คุณภาพสูงที่นำเข้าจากอเมริกาและสวีเดน พร้อมทั้งได้อุปกรณ์ทางการแพทย์ภายใต้มาตรฐานสากล (Fully Automatic Autoclave) ได้รับการรับรองจาก อย. จึงทำให้การฉีดฟิลเลอร์มีความปลอดภัยและลดความเสี่ยงได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่จะแนะนำสำหรับการฉีดบริเวณใต้ตา คือ Restylane และ Juvederm เพราะฉีดแล้วจะคงรูป ไม่เป็นก้อน และดูธรรมชาติมาก ระยะเวลาการคงอยู่จะขึ้นอยู่ในแต่ละยี่ห้อ

ฟิลเลอร์ Juvederm

อีกยี่ห้อที่ได้รับการยอมอย่างกว้างขวางเนื่องจากมีจุดเด่นคือเนื้อฟิลเลอร์จะมีจำนวนพันธะที่มาก ทำให้การสลายตัวช้าลงอยู่ได้นานขึ้น มีความปลอดภัยและมีโอกาสเป็นก้อนน้อยมาก

ฟิลเลอร์ Restylane

เนื้อฟิลเลอร์มีค่าความยืดหยุ่นสูง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เน้นในเรื่องของความยืดหยุ่น และสามารถปรับรูปทรงได้หลากหลาย รวมถึงการฉีดใต้ตาเพื่อทำดอลลี่อาย จะแนะนำรุ่นนี้เช่นกัน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรใช้กี่ CC ถึงจะเหมาะสม

ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล แต่ละคนจะใช้ปริมาณ CC ไม่เท่ากัน แต่โดยทั่วไปฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ปริมาณ 2 – 4 CC จะทำให้ถึงเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาถือเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียก่อนตัดสินใจฉีดเราควรทราบข้อมูลประกอบการตัดสินใจดังนี้

ข้อดี

  • สามารถสลายไปตามธรรมชาติ 100% โดยไม่ตกค้างในร่างกาย
  • ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นใต้ตา และช่วยให้ผิวใต้ตาดูเต่งตึงขึ้น
  • ช่วยแก้ไขปัญหาตาโบ๋ ใต้ตาลึก จากการยุบตัวของกระดูกใต้ตา
  • ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกบริเวณใต้ตาให้ตื้นขึ้น และกลับมาสดใสดูเป็นธรรมชาติ
  • เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีด โดยไม่ต้องพักฟื้น
  • สามารถปั้นแต่งทรงได้ง่ายตามต้องการ มากกว่าการฉีดไขมันใต้ตา

ข้อเสีย

  • ในกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์ของปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ ฟิลเลอร์เป็นก้อนขึ้นได้ เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมจะมีส่วนผสมของซิลิโคนอยู่และไม่ได้เป็นสารบริสุทธิ์เหมือนฟิลเลอร์แท้
  • อาจทำให้เกิดความเสี่ยงถึงขั้นตาบอดได้ เนื่องจากบริเวณใต้ตามีเส้นเลือดอยู่จำนวนมากจึงจำเป็นต้องเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอณ์เป็นอย่างมาก
  • อยู่ได้ไม่ถาวร เพราะฟิลเลอร์สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติและต้องมีการเติมซ้ำทุกๆ 6-12 เดือน เพื่อคงสภาพของผลลัพธ์เอาไว้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร

  • ตำแหน่งที่ฉีดไม่ตรงกับตำแหน่งที่มีปัญหา เช่น ฉีดฟิลเลอร์ลดริ้วรอยลึกเกินไป หรือ ฉีดเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ในตำแหน่งที่ตื้นเกินไป
  • ฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เป็นก้อนได้ จำเป็นต้องฉีดกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น
  • ใช้ชนิดของฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่จะฉีด เนื่องจากฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีเนื้อสัมผัสและขนาดของโมเลกุลที่ต่างกัน ดังนั้นหากใช้ฟิลเลอร์ที่ใช้ฟิลเลอร์ที่มีความแข็งและเหนียวก็อาจจะทำให้ใต้ตาดูเป็นก้อนได้
  • ฟิลเลอร์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่าน (อย.) หรือฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งจะไม่สามารถสลายได้เมื่อเวลาผ่านไปจะจับตัวกันเป็นก้อน ไหลย้อยทำให้ไม่เป็นทรง

ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณใต้ตาค่อนข้างบางกว่าบริเวณอื่นๆ เลยทำให้หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเกิดผลข้างเคียงได้

  • มีรอยแดง บวมช้ำ หลังการฉีด ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ แต่จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
  • อาจเกิดการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์ได้ เนื่องจากบริเวณใต้ตาจะเป็นบริเวณที่มีการขยับตัวบ่อยๆ เช่น การกระพริบตาหรือการขยี้ตา แต่ในกรณีนี้มักจะพบแค่กับการฉีดฟิลเลอร์ของปลอมกับหมอที่ไม่เชี่ยวชาญเท่านั้น
  • ใต้ตาดูบวม เป็นก้อน หากใช้ฟิลเลอร์ในบริมาณที่มากเกินไป
  • หากไม่มีความเชี่ยวชาญในการฉีด อาจทำให้ฟิลเลอร์อุดตันหลอดเลือดแดง จนนำเลือดไปเลี้ยงที่จอประสาทตาและอาจทำให้ตาบอดได้

ข้อห้ามในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ผู้ที่อยู่ในภาวะเลือดไหลไม่หยุด แพทย์จะพิจารณาตามดุลยนินิจ
  • มีภาวะอักเสบติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
  • เคยมีประวัติแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์ที่วินิจฉัยว่าแพ้โดยแพทย์
  • มีประวัติแพ้ยาชา ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำ
  • ห้ามทำในผู้ที่ตั้งครรภ์
  • ในกรณีคนไข้ที่ให้นมบุตรควรปรึกษาสูติแพทย์ที่ดูแลก่อนทำ

ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด รวมถึงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมากๆ จนหน้าแดง เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ออกแดดโดยตรงอย่างน้อย 48 ชม.
  • หลีกเลี่ยงการกดนวดในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการอาการบวมช้ำได้ ซึ่งปกติแล้วรอยช้ำต่างๆจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
  • ทานยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด ลดบวม ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
  • งดการปั้นฟิลเลอร์ด้วยตัวเองเพราะอาจทำให้ เกิดการอักเสบและการบวมช้ำมากกว่าเดิมอีกทั้งยังอาจทำให้ฟิลเลอร์ผิดรูปทรงได้อีกด้วย
  • งดทำเลเซอร์ที่ใช้ความร้อนกับผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือการทานของหมักของดอง เป็นต้น เพราะอาจะทำให้เกิดการอักเสบได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาเท่าไหร่

  • Restylane lidocaine เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา 1cc = 8,623.- (12เดือน)
  • Restylane Perlane เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา 1cc = 10,662.- (18เดือน)
  • Juvederm Voluma เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา 1cc = 10,662.- (18เดือน)

สรุป

หากต้องการทำหัตถการบริเวณใต้ตาควรได้รับคำปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เนื่องจากใต้ตาเป็นบริเวณที่ค่อนข้างบอบบางมาก ดังนั้นจึงต้องใช้ความชำนาญการเป็นพิเศษเพราะถ้าหากเลือกทำกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญอาจทำให้เสี่ยงต่อการตาบอดได้